การบริหารทรัพยากรฮาร์ดแวร์


การบริหารทรัพยากรฮาร์ดแวร์
  • คอมพิวเตอร์มาจากภาษาละตินว่า Computare ซึ่งหมายถึง การนับ หรือ การคำนวณ  
  • พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 ให้ความหมายของคอมพิวเตอร์ไว้ว่า เครื่องอิเล็กทรอนิกส์แบบอัตโนมัติ ทำหน้าที่เหมือนสมองกล ใช้สำหรับแก้ปัญหาต่างๆ ที่ง่ายและซับซ้อนโดยวิธีทางคณิตศาสตร์
  • คอมพิวเตอร์ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้ทำงานแทนมนุษย์ ในด้านการคิดคำนวณและสามารถจำข้อมูล ทั้งตัวเลขและตัวอักษรได้เพื่อการเรียกใช้งานในครั้งต่อไป 
  •  คอมพิวเตอร์ ยังสามารถจัดการกับสัญลักษณ์ได้ด้วยความเร็วสูง โดยปฏิบัติตามขั้นตอนของโปรแกรม คอมพิวเตอร์ยังมีความสามารถในด้านต่างๆ เช่น การเปรียบเทียบทางตรรกศาสตร์ การรับส่งข้อมูล การจัดเก็บข้อมูลในตัวเครื่องและสามารถประมวลผลจากข้อมูลต่างๆ ได้





ฮาร์ดแวร์ หมายถึง อุปกรณ์ต่างๆ ที่ประกอบขึ้นเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ มีลักษณะเป็นโครงร่างสามารถมองเห็นด้วยตาและสัมผัสได้ (รูปธรรม) เช่น จอภาพ คีย์บอร์ด เครื่องพิมพ์ เมาส์ เป็นต้น

ฮาร์ดแวร์ประกอบด้วย
1. อุปกรณ์นำข้อมูลเข้า (Input Devices)

2. หน่วยประมวลผลกลาง (CPU/Processor)

3. หน่วยความจำหลัก (Main Memory)

4. อุปกรณ์แสดงผลข้อมูล (Output Devices)

5. อุปกรณ์จัดเก็บข้อมูล (Storage)


1. อุปกรณ์นำเข้าข้อมูล(Input Device)


             ทำหน้าที่ในการป้อนข้อมูลเข้าสู่เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ที่ทำหน้าที่รับข้อมูล เช่น คีบอร์ด หรือ เมาส์ สเกนเนอร์ ไมโครโฟน อุปกรณ์นำเข้า มีมากมายหลายหลายรูปแบบ โดยจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ๆ คือ
             1) หน่วยป้อนข้อมูลเข้าหลัก (Primary Input) คืออุปกรณ์ที่คอมพิวเตอร์ทุกเครื่องจำเป็นต้องมี คือ เมาส์ (Mouse) ,คีย์บอร์ด (Keyboard)             
             2) หน่วยป้อนข้อมูลเสริม (Alternative Input)  คืออุปกรณ์ที่จะมีหรือไม่ก็ได้คอมพิวเตอร์ก็สามารถทำงานได้ แต่ถ้ามีจะช่วยเพิ่มความสามารถในการป้อนข้อมูลเข้า เช่น การนำเข้ารูป เสียง เป็นต้น 
หน่วยป้อนข้อมูลเสริม เช่น ไมโครโฟน กล้องดิจิตอล สเกนเนอร์ ปากกาแสง จอยสติ๊ก เครื่องอ่านบาร์โค้ด
2. หน่วยประมวลผลกลาง (CPU/Processor)
  • หน่วยประมวลผลกลางหรือซีพียู เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า โปรเซสเซอร์ (Processor) หรือ ชิป (chip) 
  • เป็นอุปกรณ์ ที่มีความสำคัญมากที่สุด ของฮาร์ดแวร์ เพราะมีหน้าที่ในการประมวลผลข้อมูลที่ผู้ใช้                                              ป้อน เข้ามาทางอุปกรณ์รับข้อมูล (Input Device) ตามชุดคำสั่งหรือโปรแกรมที่ผู้ใช้ต้องการใช้งาน 
  • ประกอบด้วย 3 ส่วน คือ หน่วยควบคุม หน่วยตรรกะ และรีจิสเตอร์
  • หน่วยประมวลผลกลาง ประกอบด้วยส่วนประสำคัญ 3 ส่วน คือ 
  • 2.1 หน่วยคำนวณและตรรกะ (Arithmetic & Logical Unit : ALU)
    2.2 หน่วยควบคุม (Control Unite)
    2.3 รีจิสเตอร์
                2.1 หน่วยคำนวณและตรรกะ (Arithmetic & Logical Unit : ALU)
ทำหน้าที่ในเครื่องคำนวณ เปรียบเทียบ ปฏิบัติทางตรรกะ ภายใต้การควบคุมของโปรแกรม โดยที่
  • การปฏิบัติงานด้านคำนวณ (Arithmetic Operations) ประกอบด้วย การ บวก ลบ คูณ หาร 
  • การปฏิบัติด้านการเปรียบเทียบ(Comparison Operations) เป็นการเปรียบเทียบค่าของข้อมูลหนึ่งกับข้อมูลอื่นๆ และมีการตัดสินใจว่าค่านั้นมีค่ามากกว่า น้อยกว่า หรือเท่ากับ ซึ่งผลก็ขึ้นอยู่กับการกำหนดเงื่อนไขในการตรวจสอบ 
  • การปฏิบัติงานทางตรรกะ(Logic Operation) เป็นการใช้เงื่อนไขทางตรรกะ เช่น AND ,OR และ NOT
  •         2.2 หน่วยควบคุม (Control Unit)
  • ทำหน้าที่ควบคุมลำดับขั้นตอนการการประมวลผลและการทำงานของอุปกรณ์ต่างๆ ภายในหน่วยประมวลผลกลาง 
  • รวมไปถึงการประสานงานในการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยประมวลผลกลาง กับอุปกรณ์นำเข้าข้อมูล อุปกรณ์แสดงผล และหน่วยความจำสำรอง ซึ่งก็ถือว่าเป็นการควบคุมการทำงานของฮาร์ดแวร์ทั้งหมด
  •          2.3 รีจิสเตอร์ (Register)
  • เป็นหน่วยที่ใช้จัดเก็บข้อมูลหรือชุดคำสั่งไว้ชั่วคราวในระหว่างการประมวลผลของซีพียู 
  • มีขนาดที่จำกัด ถ้าต้องการเก็บข้อมูลปริมาณมากก็จะจัดเก็บไว้ในหน่วยความจำหลัก โดยคอมพิวเตอร์จะทำการโหลดชุดคำสั่งและข้อมูลจากหน่วยความจำหลักมาเก็บไว้ในรีจิสเตอร์เพื่อเตรียมการประมวลผล ทั้งนี้แต่ะละรีจิสเตอร์ต่างก็มีหน้าที่แตกต่างกัน เช่น
  • รีจิสเตอร์ (Register)
  • Program Counter (PC) คือรีจิสเตอร์ที่เก็บตำแหน่งที่อยู่หรือแอดเดรสของคำสั่งถัดไปที่จะนำมาประมวลผล 
  • Instruction Register (IR) คือรีจิสเตอร์ที่เก็บคำสั่ง ก่อนการเอ็กซีคิวต์ 
  • Accumulator (AC) คือรีจิตเตอร์ที่จัดเก็บข้อมูลไว้ชั่วคราว
3. หน่วยความจำหลัก
             เป็นพื้นที่สำหรับจัดเก็บข้อมูลและคำสั่งเพื่อส่งให้กับหน่วยประมวลผลกลางประมวลผล หน้าที่ของหน่วยความจำหลัก
             1.จัดเก็บชุดคำสั่ง
             2.จัดเก็บข้อมูลเพื่อรอการประมวลผล
             3.จัดเก็บข้อมูลหรือสารสนเทศที่ได้จากการประมวลผล จากนั้นก็นำสารสนเทศเหล่านั้นส่งออไปยังเอาต์พุตทีต้องการ หรือจัดเก็บลงในหน่วยความจำสำรอง

หน่วยของข้อมูลที่จัดเก็บในหน่วยความจำจะใช้ป็นไบต์ กิโลไบต์ เมกะไบต์ กิกะไบต์ และเทระไบต์ 
หน่วยของข้อมูลที่จัดเก็บในหน่วยความจำ
  • กิโลไบต์ KB = 1024 หนึ่งพันไบต์ 
  • เมกะไบต์ MB = 1,048,576 หนึ่งล้านไบต์ 
  • กิกะไบต์ GB = 1,073,741,825 หนึ่งพันล้านไบต์ 
  • เทระไบต์ TB = 1,099,511,627,776 หนึ่งล้านล้านไบต์
หน่วยความจำหลักที่รู้จักกันทั่วไปมี 3 ประเภท คือ แรม(Ram) รอม(Rom) และซีมอส(CMOS) 
  • หน่วยความจำแรม (Random Access Memory)
  • เป็นหน่วยความจำชั่วคราว(Volatile Memory) ที่ใช้สำหรับเก็บโปรแกรมที่กำลังใช้งานอยู่ขณะนั้น คือผู้ใช้สามารถเขียนหรือลบไปได้ตลอดเวลา ถ้าหากปิดเครื่องคอมพิวเตอร์หรือไฟฟ้าดับ จะมีผลทำให้ข้อมูลต่าง ๆ ที่เก็บไว้สูญหายไปหมด และไม่สามารถเรียกกลับคืนมาได้
  • หน่วยความจำรอม (Read Only Memory ) 
                  1. เป็นหน่วยความจำถาวร อ่านได้อย่างเดียว ไม่สามารถบันทึกข้อมูลได้ ถึงแม้กระไฟฟ้าจะดับข้อมูลภายในก็ยังคงอยู่ 
                  2. เป็นหน่วยความจำที่บันทึกข้อสนเทศและคำสั่งเริ่มต้น (Start-Up) 
                  3.ข้อมูลทั้งหมดที่อยู่ใน ROM จะถูกโปรแกรม โดยผู้ผลิต (โปรแกรม มาจากโรงงาน)
  • หน่วยความจำซีมอส (Complementary Metal-Oxide Semiconductor) 
                  1.เป็นหน่วยความจำที่ใช้เก็บข้อสนเทศที่ใช้เป็นประจำของระบบคอมพิวเตอร์
                  2.ข้อมูลที่ถูกเก็บอยู่ใน CMOSเช่น เวลา และวันที่ของระบบ ค่าของฮาร์ดดิสก์ และไดรว์ซีดี/ดีวีดี เป็นต้น
                  3.CMOS ใช้ไฟเลี้ยงจากแบตเตอรรี่ (CMOS battery) ดังนั้นเมื่อปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ ข้อสารสนเทศใน CMOS จึงไม่สูญหาย
                  4.ลักษณะเด่นของ CMOS อีกอย่าง คือ ข้อสารสนเทศที่บันทึกใน CMOS สามารถเปลี่ยนแปลงได้เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงอุปกรณ์ให้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ เช่น การเพิ่ม RAM และ ฮาร์ดแวร์อื่นๆ

ขั้นตอนการประมวลผลของซีพียู
             พื้นฐานการดำเนินงานทางคอมพิวเตอร์คือการ เอ็กซีคิวต์โปรแกรม ซึ่งประกอบไปด้วยกลุ่มของชุดคำสั่งที่เก็บอยู่ในหน่วยความจำ โดยซีพียูจะประมวลผลข้อมูลตามคำสั่งในโปรแกรมซึ่งมีลักษณะต่อเนื่องกันไป เรียกว่า  วัฏจักรเครื่อง (Machine Cycle)  

โดยวัฏจักรเครื่องจะประกอบด้วยขั้นตอนต่างๆดังต่อไปนี้
             1.การเฟตช์ (Fetch) เป็นกระบวนการที่หน่วยควบคุม (CU) ไปนำคำสั่งที่ต้องการใช้จากหน่วยความจำมาเพื่อการประมวลผลมาเก็บไว้ที่ Register
             2.การแปลความหมาย ( Decode ) เป็นกระบวนการถอดรหัสหรือแปลความหมายคำสั่งต่างๆ เพื่อส่งไปยังหน่วยคำนวณและตรรกะเพื่อดำเนินการต่อไป
             3.การเอ็กซ์คิวต์ ( Execute ) เป็นกระบวนประมวลผลคำสั่งโดยหน่วยคำนวณและตรรกะ ซึ่งการประมวลผลจะประมวลผลทีละคำสั่ง
             4.การจัดเก็บ ( Store ) เป็นกระบวนการจัดเก็บผลลัพธ์ที่ได้จากการประมวลผลและจัดเก็บไว้ในหน่วยความจำหรือรีจิสเตอร์
    ขั้นตอนการประมวลผลทั้ง 4 ขั้นตอนซึ่งประกอบด้วย
                     Fetch->Decode->Excute->Store

              เรียกว่า “วัฏจักรการทำงานของซีพียู หรือวัฏจักรเครื่อง “ ซึ่งจะเป็นเช่นนี้ตลอดการประมวลผล คือ คำสั่งแต่ละคำสั่งจะถูกเฟตช์ และนำมาแปลความหมายเพื่อส่งไปเอ๊กซีคิวต์ และจัดเก็บต่อไป จากนั้นก็จะเฟตช์คำสั่งถัดไปมาประมวลผลต่อไปเรื่อยๆ

ขั้นตอนการทำงานของซีพียูที่เข้าใจง่าย ๆ มีดังนี้ 
             1. การนำคำสั่งหรือข้อมูลเข้ามาภายในตัวซีพียู
             2. การจัดเรียงคำสั่งหรือข้อมูลที่นำเข้า
             3. การถอดรหัสข้อมูล
             4. การควบคุมและการตรวจสอบการทำงาน
             5. การประมวลผลเลขทศนิยม
             6. การประมวลผลทางด้านคณิตศาสตร์และตรรกะ
             7 . การนำผลลัพธ์ที่คำนวณได้ไปเก็บไว้ที่ Register 
             8. การอ่านค่าผลลัพธ์นั้นไปเก็บไว้ยังหน่วยความจำหรือรีจิสเตอร์เพื่อรอการแสดงผล

4. อุปกรณ์แสดงผล (Output Device)

             เป็นอุปกรณ์ที่แสดงผลที่ได้จากการประมวลผลข้อมูล ซึ่งอาจจะอยู่ในรูปของรายงานด้วยเครื่องพิมพ์ การแสดงผลจากจอภาพ และการแสดงผลในรูปของเสียงและวิดีโอ อุปกรณ์ที่ทำหน้าที่แสดงผลได้แก่ เครื่องพิมพ์ และ จอภาพ

5. อุปกรณ์จัดเก็บข้อมูล (Storage)

             อุปกรณ์จัดเก็บข้อมูล หรือ เรียกว่า หน่วยจัดเก็บข้อมูลสำรอง (Secondary Storage) มีไว้เพื่อสำหรับจัดเก็บข้อมูล หรือ โปรแกรมต่างๆ เพื่อใช้งานในวันต่อ ๆ ไป
เนื่องจากหน่วยความจำหลักของคอมพิวเตอร์นั้น เป็นหน่วยความจำแบบแรมที่ข้อมูลและโปรแกรมจะสูญหายไป เมื่อกระแสไฟฟ้าดับ
ดังนั้นจึงจำเป็นต้องจัดเก็บข้อมูลต่างๆ ลงบนหน่วยจัดเก็บข้อมูลสำรอง เพื่อจัดเก็บข้อมูลต่าง ๆ ได้อย่างถาวร เช่น เทปแม่เหล็ก ดิสก์เกตต์ ฮาร์ดดิสก์ ซีดีรอม ดีวีดีรอม การ์ดหน่วยความจำ เป็นต้น


คอมพิวเตอร์มี คุณสมบัติดังนี้
  • ความเร็ว (Speed) 
  • ความน่าเชื่อถือ (Reliability) 
  • ความเที่ยงตรงและแม่นยำ (Accuracy) 
  •  จัดเก็บข้อมูลได้ปริมาณมาก (Storage) ความสามารถในการสื่อสารและเครือข่าย (Communications and Networking
  • ความเร็ว (Speed)
         เนื่องจากคอมพิวเตอร์มีความรวดเร็วในการประมวลผล ในขณะที่ใช้แรงงาน คือ อาจใช้เวลา หลายวัน หรือ หลายสัปดาห์
  • ความน่าเชื่อถือ (Reliability)
         จากการประมวลผลด้วยคอมพิวเตอร์ ในปัจจุบันมีความน่าเชื่อถือสูง หมายถึง ความผิดพลาดต่ำ หรือ อาจไม่มีความผิดพลาดเลย จึงเรียกว่า “ความน่าเชื่อถือสูง”


  • ความเที่ยงตรงและแม่นยำ (Accuracy) 
         คอมพิวเตอร์จะทำงานตามที่คำสั่งที่มนุษย์เขียนโปรแกรมหรือคำสั่งไว้ ถ้าผู้ใช้ป้อนข้อมูลและชุดคำสั่งมีความถูกต้อง ผลลัพธ์ที่ได้จากการประมวลผลก็จะมีความถูกต้องเชื่อถือได้

  • จัดเก็บข้อมูลได้ปริมาณมาก (Storage) 
         -คอมพิวเตอร์สามารถจัดเก็บข้อมูลได้ปริมาณมาก ซึ่งขนาดอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลมีขนาดเล็กแต่จัดเก็บข้อมูลได้ในปริมาณมาก ดังนั้นการจัดเก็บข้อมูลลงในเครื่องคอมพิวเตอร์ สามารถช่วยลดปริมาณเอกสารได้อย่างมากมายมหาศาล และ สะดวกรวดเร็วในการเคลื่อนย้าย
         - ฮาร์ดดิสที่มีความจุ 1 GB สามารถ บรรจุจัดเก็บข้อมูลได้ประมาณ หนึ่งพันล้านตัวอักษร    
  •  ความสามารถในการสื่อสารและเครือข่าย (Communications and Networking) 
                  คอมพิวเตอร์ไม่ได้ถูกจำกัด การสื่อสารเพียงภายในเครื่องคอมพิวเตอร์เท่านั้น แต่สามารถเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์จำนวนมากมายหลายเครื่อง ในลักษณะของเครือข่าย เช่น LAN (Local Area Network) , MAN (Metropolitan Area Network), WAN (Wide Area Network) เป็นต้น

             ผู้บริหารมีบทบาทสำคัญยิ่งในการจัดทรัพยากรคอมพิวเตอร์ฮาร์ดแวร์ให้เกิดการใช้งานให้ได้ประโยชน์สูงสุด ซึ่งมีประเด็นในการพิจารณาดังนี้

             1. กำหนดแนวทางจัดหาอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ให้สอดคล้องกับความจำเป็นและการแข่งขันของธุรกิจในยุคปัจจุบัน ดังนั้นการวางแผนระยะยาวในเรื่องของความสามารถและประสิทธิภาพในอนาคตของฮาร์ดแวร์จึงเป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาอย่างต่อเนื่องเพื่อโอกาสทางธุรกิจ

             2. การกำหนดมาตรฐานในการจัดซื้อจัดหาทรัพยากรฮาร์ดแวร์ 
                  -เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ฮาร์ดแวร์สามารถที่ช่วยสนับสนุนการขยายขีดความสามารถขององค์กรได้ 
                  -การเลือกซื้อแบบจัดหาอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ จึงต้องมีการพิจารณาอย่างรอบคอบ เพื่อให้แน่ใจว่าสิ่งที่จัดหานั้นสอดคล้องกับความต้องการขององค์กรอย่างแท้จริง
             3. การจัดทำระบบข้อมูลเกี่ยวกับทรัพยากรคอมพิวเตอร์ฮาร์ดแวร์ ต้องให้งบประมาณในการจัดหา การจัดทำระบบข้อมูลเพื่อการดูแลรักษาอุปกรณ์ต่างๆ เป็นแนวทางที่ช่วยให้การบริหารจัดการสะดวกและมีประสิทธิภาพ
                  -เพื่อให้สามารถใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์ได้นานขึ้น จึงควรรู้จักวิธีการบำรุงรักษาเครื่องคอมพิวเตอร์บ้าง โดยในหัวข้อนี้จะกล่าวถึงสิ่งที่เป็นอันตรายต่อเครื่องคอมพิวเตอร์การดูแล รักษาเครื่องคอมพิวเตอร์และปัญหาทั่วไปในการใช้งานคอมพิวเตอร์โดยมีรายละ เอียดังต่อไปนี้
                  -สิ่งที่เป็นอันตรายต่อเครื่องคอมพิวเตอร์ 
                          -  สภาพอากาศ
                          - ความร้อน
                          - แสงแดด
                          - ฝุ่นละออง
                          - น้ำ

การบำรุงรักษาเครื่องคอมพิวเตอร์


  • การเปิด – ปิดเครื่องคอมพิวเตอร์บ่อย ๆ
             เมื่อมีการเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อใช้งานจะมีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านเข้าไปในตัวเครื่องทันที ทำให้เกิดการกระชากของกระแสไฟฟ้าขึ้น ซึ่งหากการกระชากไฟนี้เกินกว่าที่ชิ้นส่วนบนแผงวงจรจะรับได้ จะทำให้แผงวงจรนั้นไม่สามารถทำงานได้ ดังนั้นถ้าไม่สามารถเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ก็ควรเปิด-ปิดเครื่องให้น้อยที่สุด
  • ความร้อน
             เกิดมาจากการทำงานของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แต่ละชิ้น ซึ่งความร้อนนี้หากสูงเกินขอบเขตที่ฮาร์ดแวร์ทนได้ก็จะทำให้เกิดการเสื่อม ของฮาร์ดแวร์ชิ้นนั้น ดังนั้นจึงต้องมีวิธีที่ใช้ในการระบายความร้อนออกจากเครื่องคอมพิวเตอร์ เช่น การระบายความร้อนด้วยการติดตั้งพัดลมที่มีขนาดใหญ่หรือการติดตั้งพัดลม เพิ่มเข้าไปการใช้งานเครื่อง คอมพิวเตอร์ในช่วงเวลาที่มีอุณหภูมิเหมาะสม การใช้เคสที่มีระบบระบายความร้อนที่ดี ซึ่งเคสที่มีระบบระบายความร้อนที่ดี  
  • ฝุ่นละออง
             เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ฮาร์ดแวร์ต่าง ๆ เสียหายได้เร็วขึ้น เนื่องจากฝุ่นละอองจะเข้าไปขัดขวางทางเดินของกระแสไฟฟ้าบนแผงวงจร ทำให้ฮาร์ดแวร์ชิ้นนั้นทำงานได้ไม่เต็มที่หรือทำงานติดขัด นอกจากนี้ ฝุ่นละอองยังเป็นตัวปิดกั้นไม่ให้ความร้อนระบายออกไปได้ ฮาร์ดแวร์ชิ้นหนึ่งที่ต้องหลีกเลี่ยงจากฝุ่นเป็นอย่างยิ่งก็คือ เครื่องพิมพ์ (Printer) เนื่องจากหากฝุ่นได้เข้าไปเกาะอยู่บนหัวพิมพ์ของเครื่องพิมพ์แล้ว จะเข้าไปขวางกั้นการทำงานของเครื่องพิมพ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเครื่องพิมพ์แบบอิงค์เจ็ท จะทำให้การพิมพ์ภาพหรือตัวอักษรบนกระดาษเลอะเลือนได้
  •  น้ำ
             น้ำ หรือของเหลว เป็นสาเหตุสำคัญที่สุดที่ทำให้ฮาร์ดแวร์ชิ้นต่าง ๆ เสียหายได้ เนื่องจากฮาร์ดแวร์ทุกชิ้นต้องใช้ไฟฟ้าในการทำงาน และน้ำก็เป็นตัวการที่ทำให้กระแสไฟฟ้าลัดวงจร ดังนั้นจึงไม่ควรนำน้ำหรือของเหลวใด ๆ เข้าใกล้ฮาร์ดแวร์ทุกชิ้นแต่หากต้องใช้น้ำใน การทำความสะอาดก็ควรถอดปลั๊กไฟออกก่อน และใช้ผ้าชุบน้ำหมาด ๆ เช็ดทำความสะอาด แล้วใช้ผ้าแห้งเช็ดซ้ำ
  • กระแสไฟฟ้า
             กระแสไฟฟ้า ที่หล่อเลี้ยงให้คอมพิวเตอร์สามารถทำงานได้ก็สามารถสร้างความเสียหายให้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ได้โดยมีสาเหตุมาจากไฟตก ไฟเกิน ไฟดับ และไฟกระชาก ซึ่งหากเกิดเหตุการณ์ไฟดับหรือไฟกระชาก จะทำให้ฮาร์ดแวร์หยุดทำงานชั่วคราวจนกว่าจะมีกระแสไฟฟ้ากลับมาหล่อเลี้ยงอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งในช่วงเวลาที่ฮาร์ดแวร์หยุดทำงานอย่างฉับพลันนี้อาจจะเป็นสาเหตุทำให้
ฮาร์ดแวร์เสียหายได้


  •  สนามแม่เหล็กไฟฟ้า 
             สนามแม่เหล็กไฟฟ้า ที่เกิดจากฮาร์ดแวร์ชิ้นหนึ่งอาจจะไปรบกวนการทำงานของฮาร์ดแวร์อีกชิ้นหนึ่ง จนทำให้ฮาร์ดแวร์ที่ถูกรบกวนเสียหายได้ เช่น ลำโพงจากชุดมัลติมีเดีย ที่ไม่มีการป้องกันสนามแม่เหล็กไม่ให้แผ่กระจายออกไป สามารถทำอันตราย จอภาพได้เนื่องจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่ออกมาจากลำโพง จะไปรบกวนการสัญญาณของหลอดภาพที่อยู่ภายในตัวจอภาพ ทำให้การแสดงภาพและสีผิดเพี้ยนไป และเมื่อใช้งานไปนานทำให้จอภาพที่ถูกรบกวนด้วยสนามแม่เหล็กไฟฟ้าไม่สามารถแสดงผลได้ครบทุกสี หรือจอภาพอาจจะเสียไปก็ได้เป็นต้น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น